วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จุดอ่อนของการอภิปรายผลการวิจัย


จุดอ่อนของการอภิปรายผลการวิจัย

หลายต่อหลายครั้งเมื่ออ่านการอภิปรายผลการวิจัยของนักศึกษาที่ทำปริญญานิพนธ์ แล้วทำให้ดิฉันคิดว่า นักศึกษาคงจะเกิดความสับสนเป็นแน่แท้ว่า จะเขียนอภิปรายผลการวิจัยอย่างไรดี  จึงเป็นการอภิปรายที่มาจากการคิดวิเคราะห์ของเขาอย่างแท้จริง

โดยทั่วไปนักศึกษาจะได้รับคำแนะนำว่า เขียนโดยเรียงตามลำดับของวัตถุประสงค์ และสมมติฐานของการวิจัย  โดยกล่าวถึงความเหมือนและความแตกต่างของข้อค้นพบจากงานวิจัยที่ทำ  เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นในอดีตว่าเหมือนหรือแตกต่างอย่างไร  และสรุปอ้างอิงไปยังทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง  ดังนั้นนักศึกษาก็จะเขียนโดยกล่าวถึงผลงานวิจัยของตนเองก่อน  แล้วก็ใช้คำพูดว่า ซึ่งคล้ายคลึง หรือสอดคล้อง กับผลงานวิจัยของ นาย ก. ที่พบว่า....... โดยกล่าวแบบลอย ๆ ขาดการวิเคราะห์วิจารณ์ อย่างลึกซึ้ง  หรืออาจกล่าวถึงทฤษฏีเพื่อยืนยันข้อค้นพบ โดยไม่ให้ข้อคิดเห็นในเชิงวิเคราะห์ถึงความเหมือนหรือความแตกต่างที่สังเกตพบในการนำทฤษฏีไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างของงานที่นักศึกษาทำเสร็จแล้ว

ข้อผิดพลาดของการอภิปรายผลการวิจัยอาจกล่าวเป็นประเด็นได้ดังนี้                                        

ประเด็นแรก เรียกว่า การไม่คำนึงถึงความเหมือน ความคล้าย หรือความแตกต่างของงานวิจัยที่อ้างถึงกับงานวิจัยที่นักศึกษาทำ หมายความว่า เมื่อนักศึกษานำงานวิจัยของผู้อื่นที่ทำเสร็จแล้วมาอ้างถึง ในเชิงเป็นเหตุผลสนับสนุน หรือขัดแย้งกับผลงานวิจัยของตนเอง แต่ขาดข้อมูลรายละเอียด หรือขาดการวิเคราะห์ในประเด็นของนิยามของ ตัวแปรตาม ตัวแปรต้น  กลุ่มตัวอย่างและการวิเคราะห์ ตัวอย่างเช่น

การอภิปรายผลของนักศึกษาท่านหนึ่งเขียนว่า  งานวิจัยเรื่องนี้พบว่า เหตุผลเชิงจริยธรรม เป็นตัวทำนายที่สำคัญที่สุดของพฤติกรรมการทำงานอย่างมีจริยธรรมของกลุ่มข้าราชการตำรวจ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ นาย ก. ที่ศึกษาพฤติกรรมการของนักเรียนมัธยมปลายที่พบว่า เหตุผลเชิงจริยธรรม  ทัศนคติต่องาน  สามารถทำนายพฤติกรรมรับผิดชอบต่อการเรียนได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่จุด .05  และมีอำนาจในการทำนาย 35 เปอร์เซ็นต์

การเขียนอภิปรายผลข้างต้นมีความบกพร่องหลายประการคือ  1) ขาดรายละเอียดของตัวแปรอิสระที่ใช้ในการทำนายพฤติกรรมความรับผิดชอบต่อการเรียน   ในงานวิจัยที่นาย ก. ทำ  เพราะถ้าตัวแปรอิสระของนาย ก. ไม่เหมือนกับตัวแปรอิสระของนักศึกษาท่านนี้  ผลการวิจัยอาจไม่สอดคล้องก็ได้  2) งานวิจัยเล่านี้ศึกษากับข้าราชการตำรวจ  แต่งานวิจัยของนาย ก. ศึกษานักเรียน  ผลของงานวิจัยทั้งสองนี้อาจไม่สอดคล้องก็ได้  3) งานวิจัยเรื่องนี้ พบว่า เหตุผลเชิงจริยธรรม เป็นตัวทำนายที่สำคัญที่สุด  แต่งานวิจัยของนาย ก. กล่าวว่า เหตุผลเชิงจริยธรรม และทัศนคติต่องาน สามารถทำนายพฤติกรรมได้อย่างมีนัยสำคัญ และมีอำนาจในการทำนาย 35 เปอร์เซ็นต์  ผลงานวิจัยทั้งสองเรื่องนี้กำลังกล่าวถึงผลจากการวิเคราะห์ในมุมที่แตกต่างกัน  ผลงานวิจัยทั้งสองเรื่องนี้อาจไม่สอดคล้องกันก็ได้

ที่เกิดเหตุดังนี้เพราะนักศึกษาไม่ทำการวิเคราะห์งานวิจัยทั้งสองเรื่องอย่างละเอียดว่างานแต่ละเรื่องใช้ตัวแปรตามเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรการเหมือนอาจเหมือนกันโดยการใช้นิยามปฏิบัติการเดียวกัน หรือ ใช้ทฤษฏีเดียวกันก็ได้ กลุ่มตัวอย่างเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร  ตัวแปรต้นมีอะไรบ้าง  และการวิเคราะห์ใช้สถิติอะไร  ผลที่ได้มีรายละเอียดอย่างไร  ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วจึงเขียนสรุปที่ละประเด็นให้เห็นทั้งความเหมือนและความแตกต่าง แล้วจึงสรุปว่าสอดคล้องหรือแตกต่างอย่างไร จะเหมาะสมกว่าการเขียนคลุมแบบลอยๆว่าสอดคล้อง

ผู้เขียนที่อภิปรายผลการวิจัยโดยปราศจากรายละเอียดของงานวิจัย ที่ต้องวิเคราะห์แล้ว จึงเปรียบเสมือน การกล่าวอ้างงานวิจัยของผู้อื่นอย่างลอย ๆ ขาดประเด็นที่จะนำมาสู่การถกเถียงทางวิชาการ  ที่จะเกิดการตกผลึกแห่งความรู้

ประเด็นที่สอง อยากจะเรียกว่าการละเลย ผลที่ไม่มีนัยสำคัญที่มีความสำคัญ ที่ควรค่าแก่การอภิปรายเป็นอย่างยิ่ง  ที่กล่าวเช่นนี้เพราะนักศึกษาหลายคนไม่กล่าวถึงผลของการวิจัยที่ไม่มีนัยสำคัญเลย  ผลของการวิจัยที่เข้ากับประเด็นนี้มีหลายรูปแบบได้แก่  1) พบว่าผลมีนัยสำคัญในกลุ่มรวม และมีนัยสำคัญในกลุ่มย่อยบางกลุ่ม  ผู้วิจัยจะให้ความสนใจในการอภิปรายสนับสนุนข้อค้นพบที่มีนัยสำคัญ โดยลืมไปว่าข้อค้นพบที่ไม่มีนัยสำคัญก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน   ทั้งนี้เพราะ การที่เราพบว่าข้อค้นพบไม่เป็นไปตามทฤษฎีเดิม  แปลว่าอาจมีประเด็นใหม่ ๆ ที่ควรแก่การศึกษาในงานวิจัยต่อไปในกลุ่มตัวอย่างที่ไม่พบผลสอดคล้องกับทฤษฎีหรือผลงานวิจัยในอดีต  ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่าทฤษฎีอาจไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ได้อย่างครอบคลุมในกลุ่มบางกลุ่ม หรือกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยที่ผู้วิจัยศึกษาอาจมีขนาดเล็กเกินไป หรืออาจมีตัวแปรอื่นบางตัวที่เป็นลักษณะที่เฉพาะของกลุ่มตัวอย่าง ที่ควรนำมาร่วมศึกษาในงานวิจัยเรื่องต่อไป  2) พบว่าตัวแปรบางตัวไม่มีนัยสำคัญ หรือลดความสำคัญในกลุ่มย่อยบางกลุ่ม ในขณะที่กลุ่มใหญ่มีความสำคัญ  อาจแสดงถึงข้อถกเถียงว่า จะมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตัวนั้นกับลักษณะบางประการของกลุ่มตัวอย่างนั้นก็อาจเป็นได้  จึงควรค่าแก่การอภิปรายถึงเพื่อประโยชน์ในการทำวิจัยที่ลึกซึ้งในอนาคต

ประเด็นที่ 3  เรียกว่าไม่แยกแยะการมีนัยสำคัญที่ขาดความสำคัญในทางปฎิบัติ จากผลที่มีทั้งนัยสำคัญและมีความสำคัญในการปฎิบัติ ได้แก่ การพบผลที่มีนัยสำคัญทางสถิติแต่มีขนาดอิทธิพลหรือความเกี่ยวข้องระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรที่ต่ำเกินไป เช่น  ผลการวิจัยพบว่าเหตุผลเชิงจริยธรรมมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการทำงานอย่างมีจริยธรรมของข้าราชการตำรวจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่า r = .02  ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีเหตุผลเชิงจริยธรรม ในกรณีนี้ผู้วิจัยควรอภิปรายถึงความไม่มีนัยสำคัญเชิงการใช้ผลการวิจัยในทางปฏิบัติ เพราะค่า r มีค่าเล็กเกินไป  ผลเช่นนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่สนับสนุนการใช้ประโยชน์ของทฤษฎีก็เป็นไปได้

การอภิปรายผลการวิจัย แม้จะเป็นกิจกรรมเกือบสุดท้ายของการเขียนรายงานผลการวิจัย  แต่ก็มีความสำคัญมากในเชิงวิชาการ และการนำงานวิจัยไปใช้เพื่อการปฏิบัติ  นักศึกษาหลายคนบ่นว่าเขียนยาก ก็ต้องยอมรับว่ายากจริง แต่เพื่อความสมบูรณ์ของกระบวนการคิดและการเขียนที่ต้องเข้าใจงานของตนเองและงานของผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ก็เป็นกิจกรรมที่ควรค่าแก่ความพยายาม มิใช่หรือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น