ก่อนจะเป็น…ปัญหาการวิจัย
นักวิจัยรุ่นเยาว์หรือนักศึกษาระดับบัณทิตศึกษาที่เริ่มทำวิจัย
จะมีคำถามเสมอว่า “ดิฉัน/ผมจะทำวิจัยเรื่องอะไรดี”
บ้างก็บอกอย่างเบื่อหน่ายว่า “กำลังมองหาหัวข้ออยู่” โดยที่ความจริงแล้วสิ่งที่กำลังพูดอยู่นี้
น่าจะหมายถึงการหาปัญหาการวิจัยที่ดีนั่นเอง
ปัญหาการวิจัยที่ดีนั้น
อาจเริ่มต้นจาก การมีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วค่อยๆ
พัฒนาไปเป็นปัญหาการวิจัยที่ชัดเจน เช่น ความสนใจของเราอาจเกี่ยวกับเรื่อง ผู้บริหารกับผลประโยชน์ขัดแย้ง
วัยรุ่นกับพฤติกรรมทางเพศ
นักข่าวกับจรรยาบรรณในวิชาชีพ เหล่านี้มิใช่ปัญหาการวิจัยที่ดี
แต่เป็นแค่ประเด็นความสนใจกว้างๆ
ปัญหาการวิจัยที่ดีควรมีลักษณะลึก ริเริ่มสร้างสรรค์ มีความสำคัญ
มีผลกระทบต่อการสร้างความรู้เชิงวิชาการและการแก้ปัญหาสำคัญ
การเขียนปัญหาการวิจัยอาจเขียนในรูป
ประโยคคำถามหรือเขียนในรูปของจุดประสงค์ก็ได้
นักวิจัยรุ่นเยาว์มักเลือกปัญหาการวิจัยเร็วเกินไป ก่อนจะทำการศึกษาอย่างลึกซึ้ง
หรือมองไม่เห็นว่ามีปัญหาการวิจัยหลังจากอ่านผลการวิจัยต่างๆแล้วเพราะเข้าใจว่ามีคนอื่นทำวิจัยไปหมดแล้ว
ซึ่งไม่ใช่เลยเพราะความสนใจของนักวิจัย
สร้างเป็นปัญหาการวิจัยได้เสมอเมื่อมีการขัดเกลาที่เหมาะสม
การทำวิจัยที่ดีเริ่มจากการเลือกปํญหาการวิจัยที่ดี ซึ่งทำได้ยากหน่อยสำหรับนักวิจัยรุ่นเยาว์
มีคำกล่าวหาหรือคำวิจารณ์ของอาจารย์ที่ปรึกษาปริญญานิพนธ์เกี่ยวกับปัญหาการวิจัยคือ
มันกว้างไป มันไม่น่าสนใจ มันยังไม่มีอะไรใหม่ และนักวิจัยรุ่นเยาว์ก็ไม่รู้ว่าจะไปปรับปรุงอย่างไร
ลักษณะของปัญหาการวิจัยที่กว้างเกินไปเป็นลักษณะที่ปรับปรุงได้ง่ายกว่าจุดบกพร่องอื่น
เช่นเดิมนักวิจัยอาจมีปัญหาการวิจัยว่า การฝึกอบรมมีประสิทธิผลหรือไม่ ผลการปฏิบัติงานวัดอย่างไร
อะไรทำให้องค์กรมีประสิทธิผล วัยรุ่นรู้เท่าทันสื่อหรือไม่
ปัญหาการวิจัยเหล่านี้จะชัดเจนขึ้น โดยการระบุตัวแปรที่เฉพาะเจาะจง
เช่นการใช้เทคนิคแม่แบบเพื่อพัฒนาพฤติกรรมอนุรักษ์น้ำมีผลอย่างไร
แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานและภาวะผู้นำของหัวหน้ามีผลต่อประสิทธิผลขององค์กรอย่างไร
วัยรุ่นที่มีโครงสร้างของครอบครัวแตกต่างกับจะมีการรู้เท่าทันสื่อต่างกันอย่างไร
แล้วจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ปัญหาการวิจัยสร้างสรรค์
สำคัญ และมีผลกระทบ เราทำได้โดยอาศัยความรู้ และทักษะต่อไปนี้ 1) ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆของการทำงานวิจัยได้แก่
การออกแบบการวิจัย การรวบรวมข้อมูล
และการวิเคราะห์ข้อมูล 2) ทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ และ
3) ทักษะการสังเคราะห์งานวิจัย
การอ่านอย่างมีวิจารณญาณทำโดย เลือกงานวิจัยในเรื่องที่ตรงหรือเกี่ยวข้องกับคำถามการวิจัย
อ่านและทำความเข้าใจว่างานเรื่องนั้นทำงานวิจัยในรูปแบบใด กับใคร ตัวแปรวัดอย่างไร
ผลเป็นอย่างไรก็ต้องวิเคราะห์ วิจารณ์ข้อดี ข้อเด่น ข้อด้อย
ข้อน่าสงสัยเกี่ยวกับทฤษฎี การวัด การวิเคราะห์ และผลการวิจัย ในขณะที่อ่านงานวิจัยแต่ละเรื่อง
จากนั้นนำงานวิจัยหลายๆเรื่องมาสังเคราะห์เพื่อหาว่าอะไรที่ยังเป็นคำถามอีกบ้าง
ปัญหาการวิจัยที่สร้างสรรค์นั้นยากหน่อย
เพราะความสร้างสรรค์เป็นจินตนาการบวกกับทักษะความชำนาญในสาขา
ปัญหาการวิจัยของนักวิจัยรุ่นเยาว์มักขาดความสร้างสรรค์หรือแม้แต่ผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทั้งในประเทศและต่างประเทศบางเรื่องก็ไม่สร้างสรรค์
และเพราะความสร้างสรรค์ไม่มีขอบเขต ดังนั้นปัญหาการวิจัยที่เราคิดว่าสร้างสรรค์อาจไม่สร้างสรรค์สำหรับอีกคนก็เป็นไปได้
ปัญหาการวิจัยจะต้องมีความใหม่
หมายความว่าเป็นปัญหาที่ยังไม่มีใครตอบ หรือเป็นปัญหาที่ต้องการคำตอบแนวใหม่
ดังนั้นถ้าเราทราบว่า มีผู้ทำวิจัยเสร็จและพบว่าการใช้เทคนิคแม่แบบพัฒนาพฤติกรรมอนุรักษ์น้ำของนักเรียนระดับประถมศึกษาแต่มีขนาดอิทธิพลน้อย
และเรามีข้อสันนิฐานว่าการพัฒนาพฤติกรรมอนุรักษ์น้ำที่เกิดขึ้นจะไม่ยั่งยืนถ้ามิได้มีการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของนักเรียน
เราอาจปรับปัญหาการวิจัยเป็น
การใช้เทคนิคแม่แบบและกระบวนการกระจ่างค่านิยมร่วมกันจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมอนุรักษ์น้ำได้หรือไม่
นอกจากนี้ปัญหาการวิจัยต้องมีความสำคัญ
และมีผลกระทบต่อวิชาการ นักวิจัยรุ่นเยาว์อาจสร้างปัญหาการวิจัยจากการร่วมงานวิจัยกับนักวิจัยที่มีประสบการณ์
เพราะจะได้เรียนรู้งานวิจัยที่มีความซับซ้อน
หรือจากการอ่านหนังสือและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งที่จะทำให้ปัญหาการวิจัยชัดเจนขึ้น เช่น
นักวิจัยที่สนใจเกี่ยวกับพัฒนาการทางสังคมของนักเรียนประถมศึกษาที่มีความสามารถพิเศษ
หลังจากได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับ ลักษณะเฉพาะของนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ พัฒนาการทางสังคม
อาจมีปัญหาการวิจัยที่ชัดเจนขึ้น เช่น
ความสัมพันธ์ระหว่างสติปัญญาและการเลือกสังคมมิติระหว่างเด็กนักเรียนประถมปีที่ห้าเป็นอย่างไร
หรือ
ปัญหาการปรับตัวทางสังคมของนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษเป็นอย่างไร
ปัญหาการวิจัยที่ดีอาจเป็นการทดสอบทฤษฎีที่เกี่ยวของกับประเด็นที่นักวิจัยสนใจ
ทฤษฎีที่ดีต้องสามารถใช้เพื่อการอธิบายปรากฏการณ์ได้หลากหลาย ทฤษฎีมักประกอบด้วยการระบุความเกี่ยวข้องระหว่างเหตุการณ์ และตัวแปรที่ใช้เพื่อบอกเกี่ยวกับเหตุการณ์
เช่นทฤษฎีเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างความวิตกกังวลกับการเรียนรู้ กล่าวว่า
นักเรียนที่มีความวิตกกังวลต่ำจะทำงานได้ดีกว่านักเรียนที่มีความวิตกกังวลสูงในงานที่มีความยาก
นักวิจัยอาจทดสอบทฤษฎีในการเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่ 4 ในวิชาการสอนวิทยาศาสตร์ โดยมีงานที่มีความง่ายและยากในระดับต่าง ๆ
โดยใช้นักศึกษาที่มีความกังวลหลายระดับ แล้วทำการสังเกตการสอนของนักศึกษา ปัญหาการวิจัยที่ทดสอบทฤษฎีมีข้อดีหลายประการคือ
ทฤษฎีจะเป็นเหตุผลในการอธิบายผลการวิจัย ทฤษฏีให้กรอบการวิจัยเกี่ยวกับตัวแปรและความเกี่ยวข้องระหว่างตัวแปร
ผลงานวิจัยที่มีความสำคัญต้องมาจาก
ปัญหาการวิจัยที่ดี และปัญหาการวิจัยที่ดีต้องมีผลกระทบต่อวิชาการหรือการแก้ปัญหาที่สำคัญของสังคม
ถ้าการทำวิจัยนั้นไม่เพิ่มพูนความรู้ หรือไม่นำไปสู่การแก้ปัญหา ก็ไม่คุ้มค่าที่จะทำวิจัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น