การพัฒนาทักษะนักวิจัยในมหาวิทยาลัย (1)
ทักษะเชิงวิชาชีพมักประกอบด้วยความรู้
ความสามารถและจิตลักษณะที่จะนำไปสู่ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพนั้นๆ ความรู้ของนักวิจัยประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับกระบวนการวิจัยทุกขั้นตอน
ได้แก่การกำหนดปัญหาการวิจัย การออกแบบการวิจัย การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์
และการสรุปผลการวิจัย ความสามารถของนักวิจัย ประกอบด้วยความสามารถด้านการคิดหลายประการ
ได้แก่ความคิดหลากหลาย คิดเชิงวิเคราะห์ สังเคราะห์ คิดเชิงเหตุ-ผล คิดวิจารณญาณ คิดเชิงวิพากษ์ และจิตลักษณะ ประกอบด้วยความชอบ
ความมุ่งมั่นจดจ่อ กัดติด จนบรรลุคำตอบของการวิจัย และ ความซื่อตรงและรับผิดชอบต่องานของตน
คนทุกคนมิได้เกิดมาพร้อมกับความรู้
ความสามารถ และลักษณะเหล่านี้ติดตัวมาด้วย แต่ต้องมาค้นหา
แล้วพัฒนาอย่างถูกวิธีจึงจะสามารถบรรลุความเป็นนักวิจัยมืออาชีพ ความรู้ความสามารถของการเป็นนักวิจัย
บางส่วนเรียนรู้ได้จากการอ่าน การปฏิบัติ และเขียนเพื่อถ่ายทอดให้ผู้อื่นรู้ หรือวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่อ่าน
ยิ่งได้ทำในสิ่งเหล่านี้มากเท่าใด ก็จะเกิดเป็นความรู้
ความสามารถที่ลึกซึ้งขึ้นตามระยะเวลา
การเรียนในระดับอุดมศึกษา
จะมีวิชาวิจัยที่ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีโอกาสทำในสิ่งเหล่านี้
แต่จุดอ่อน คือ ผู้เรียนบางคนไม่ตระหนักถึงความสำคัญของกิจกรรม
จึงทำงานแบบคัดลอกมาส่งซ้ำๆกัน
อีกทั้งผู้สอนไม่มีโอกาสได้สะท้อนคุณภาพและความลึกซึ้งของผลงานให้กับผู้เรียน
จึงทำให้ผลจากการเรียนรู้ไม่บรรลุเป้าหมาย จนกระทั่งอาจารย์หลายคนบ่นว่า
นักเรียนไม่สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ความคิดและสื่อสารได้อย่างเหมาะสม
ทำให้ต้องดูแลกันอย่างมากทีเดียว
การฝึกทักษะการอ่านสำหรับงานวิจัยนั้น
มิใช่เพียงอ่านจับใจความ ซึ่งก็ยากอยู่แล้วสำหรับบางคนที่สมาธิไม่ดี
แต่ต้องอ่านเชิงวิเคราะห์ และตั้งคำถามและข้อถกเถียงกันตลอดเวลา เช่น
มีเงื่อนไขภายในงานวิจัยใด ที่มีผลต่อข้อสรุปที่น่าเชื่อถือของงานวิจัย เช่น ผลสรุปจากงานวิจัยกล่าวว่า ”การเรียนในโรงเรียนเอกชน
มีผลสัมฤทธิ์ของการเรียนวิชาภาษาอังกฤษสูงกว่าการเรียนในโรงเรียนของรัฐ ดังนั้นการเรียนในโรงเรียนเอกชนมีผลทำให้ภาษาอังกฤษดีกว่า”เป็นการสรุปที่ขาดความน่าเชื่อเพราะตัวอย่างที่ใช้มาจากกลุ่มนักเรียนในโรงเรียนเอกชนและนักเรียนในโรงเรียนของรัฐ
ทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนในโรงเรียน
เพราะผู้ปกครองอาจมีฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคมแตกต่างกัน
มีค่านิยมทางด้านการศึกษาแตกต่างกันและนักเรียนอาจมีแรงจูงใจทางด้านการเรียนแตกต่างกันตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนในโรงเรียน
การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะด้านการอ่าน
ทำโดยให้ผู้เรียนอ่านงานวิจัยในลักษณะต่างๆตั้งแต่ งานวิจัยเชิงสำรวจ
งานวิจัยเชิงประเมิน และงานวิจัยเชิงทดลอง เป็นต้น แล้วจัดให้มีการสนทนากับผู้รู้
ในประเด็นต่างๆเช่น 1)ข้อสรุปจากงานวิจัยมีข้อจำกัดอะไร
ที่ผู้วิจัยมิได้กล่าวถึงในขอบเขตของงานวิจัย ข้อจำกัดนี้ส่งผลต่อข้อสรุปอย่างไร 2)เราจะมีวิธีการอะไรที่จะทดสอบว่าผลการวิจัยนี้อาจเป็นตรงกันข้าม
3)เราจะแก้ไขปัญหาก็เป็นข้อจำกัดของงานวิจัยนี้อย่างไร
การฝึกสังเคราะห์สิ่งที่อ่าน
เป็นอีกทักษะหนึ่งที่สำคัญสำหรับนักวิจัย
เพราะก่อนและระหว่างวิจัยต้องอ่านงานวิจัย และเอกสารอื่นอีกมากมาย
ถ้าสังเคราะห์ไม่เป็นจะไม่สามารถสร้างประเด็นที่มีฐานมาจากความรู้เดิม
การสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยจะทำให้นักวิจัยสามารถสร้างกรอบแนวคิดที่จะต่อยอดและสร้างสรรค์ได้
การสังเคราะห์ทำได้หลายวิธี อาจเริ่มจากการกำหนดกรอบของการสังเคราะห์
หรือไม่กำหนดกรอบของการสังเคราะห์ก่อน หรือผสมผสานกันก็ได้ เช่น
ประเด็นว่าจะพัฒนาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยให้มีทักษะในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศได้อย่างไรอาจกำหนดกรอบของการสังเคราะห์ว่า
การฝึกอบรม แหล่งเรียนรู้ระหว่างการทำงาน แรงจูงใจ ภูมิหลังก่อนเป็นอาจารย์
และวัฒนธรรมขององค์กร ส่งผลต่อทักษะในการทำวิจัยเท่าใดและอย่างไร หรือกำหนดกรอบหลังจากอ่านงานทุกเรื่องแล้วก็ได้
การฝึกให้ผู้เรียนสามารถสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยได้
ต้องเริ่มจากประเด็นแคบๆก่อน เช่น เลือกงานวิจัยที่มีตัวแปรต้นและตัวแปรตาม
เหมือนกัน 5
เรื่องแล้วให้สังเคราะห์เพื่อให้หาข้อสรุปว่า
1) งานวิจัยทั้งหมดมีผลเหมือนกันอย่างไร และข้อสรุปมีบริบทแบบใด
2) งานวิจัยทั้งหมดมีผลแตกต่างหรือไม่ อะไรเป็นสาเหตุของความแตกต่าง
3) คำถามใดที่งานวิจัยทั้งหมดยังไม่ตอบ หรือตอบแล้วแต่ยังขาดความน่าเชื่อถือ
4) เราควรทำงานในเรื่องวิจัยใดต่อไป เพราะเหตุผลใด
ปัญหาการทำวิจัยของผู้เรียน ในมหาวิทยาลัยคือ
เราเน้นการอ่านเชิงวิเคราะห์น้อยไป ขาดการสังเคราะห์ และตั้งสมมติฐานเร็วเกินไป
เมื่อฝึกการอ่านแล้ว
อันดับต่อไปต้องฝึกทำวิจัยโดยมีครูอาจารย์ เป็นพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด
ในขั้นตอนสำคัญๆเริ่มจากขั้นการกำหนดประเด็นการวิจัย และสมมติฐาน การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์และการสรุปผลการวิจัย
การอภิปรายผลและข้อเสนอแนะการวิจัย
บทบาทของการเป็นพี่เลี้ยงนี้ต้องเน้นความเสมอภาค การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
หมายความว่าทั้งสองฝ่ายต้องเท่าเทียมกันบนฐานของเหตุและผล
มิใช่ว่าอาจารย์ต้องเป็นฝ่ายบอกเสมอว่าต้องทำอะไรหรือต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอ
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หมายถึงทั้งสองฝ่ายต้องเตรียมตัวและหาข้อมูล
ข่าวสารต่างๆมาแลกเปลี่ยนกันและกัน การจะทำดังนี้ได้ทั้งสองฝ่ายต้องตระหนักในบทบาทของตนเอง
สมัครใจและเห็นประโยชน์ร่วมกัน
หลายต่อหลายครั้งที่ผู้สอนจะพบว่าตนเองก็ได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นพร้อมๆผู้เรียน
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ปัจจุบัน
มหาวิทยาลัยหลายแห่ง หลายสาขา เน้นการผลิตเพื่อการหารายได้และไม่สามารถบริหารจัดการอย่างเหมาะสม
ทำให้ผู้สอนไม่มีเวลาให้กับผู้เรียนมากพอที่จะช่วยพัฒนาทักษะของผู้เรียนอย่างที่ควรจะเป็น
ในขณะเดียวกัน ผู้เรียนบางคนมุ่งหวังใบปริญญามากกว่าต้องการพัฒนาตนเอง
การเขียนเป็นทักษะที่ต้องพัฒนาอย่างมาก
ในปัจจุบันที่นักเรียน นักศึกษา มีโอกาสฝึกเขียนน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เน้นการตัดและแปะ การสอบแบบปรนัย
การเขียนแบบไม่เป็นทางการเพื่อการสื่อสารที่ฉับไวบนมือถือและอินเตอร์เน็ต
การเขียนที่ดีนั้นผู้เขียนต้องคำนึงถึงผู้อ่านเป็นสำคัญ
ขณะที่เขียนต้องสมมติตัวเองเป็นผู้อ่านด้วยว่า เขาจะชอบไหม ผู้อ่านเป็นคนแบบไหน
เขียนแบบใดจึงจะเหมาะสม
การเขียนต้องเขียนจากสิ่งที่เรารู้อย่างชัดเจนและใช้ประโยคที่ตรงประเด็น
ไม่ออกนอกประเด็น ไม่เน้นความไพเราะมากกว่าความแจ่มแจ้ง
การฝึกเขียนแบบนักวิจัยนั้น ต้องสามารถเขียนเชิงพรรณนา
เพื่ออธิบายสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ ข้อเท็จจริง เขียนแบบถกเถียงในประเด็นที่ต้องการให้ผู้อ่านคิดในเชิงเห็นด้วย
สนับสนุนหรือขัดแย้ง เขียนแบบสรุปจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์
โดยทั้งนี้ต้องมีความสามารถในการสร้างกรอบความคิดที่จะเขียน
สร้างหัวข้อย่อยหัวข้อรองและใช้รูปแบบการเขียนเชิงวิชาการได้อย่างถูกต้อง
ทักษะเกิดจากการฝึกหลายๆครั้ง
จนเกิดความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆการพัฒนาทักษะนักวิจัยก็เช่นเดียวกัน
ต้องเริ่มต้นตั้งแต่เทอมแรกจนถึงเทอมสุดท้าย
มิใช่มาพัฒนากันตอนทำปริญญานิพนธ์เท่านั้น
และบางครั้งเราจะพบว่าบัณฑิตบางคนไม่เคยได้รับการฝึกฝนทักษะนักวิจัยเลย
แม้จะได้รับปริญญาไปครอบครองแล้วก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น