วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมื่อปริญญานิพนธ์ใช้เทคนิคการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม


เมื่อปริญญานิพนธ์ใช้เทคนิคการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม

 

ใครต่อใครมักกล่าว ถึง Kurt Lewin ในฐานะผู้คิดค้นและให้ความหมายของคำว่า action research  “a process  whereby one could construct  a social experiment” ตัวอย่างของงานวิจัยในยุคแรกๆ  สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง  ที่ เลวิน  ทำได้แก่  การให้ชาวอเมริกันใช้เครื่องในวัวหรือผ้าขี้ริ้ววัว(tripe)ในการปรุงอาหารประจำวัน  โดยมีคำถามวิจัยว่า แม่บ้านชาวอเมริกันจะได้รับการจูงใจให้ใช้เครื่องในวัวในการปรุงอาหารได้หรือไม่ เพียงใด ?  ขั้นตอนในการวิจัยประกอบด้วย  1) การฝึกให้แม่บ้านจำนวนหนึ่งปรุงอาหารโดยใช้เครื่องในวัว และ 2) สำรวจว่าการฝึกมีผลต่อการทำอาหารในครัวเรือนของแม่บ้านแต่ละคนอย่างไร

นั่นเกิดขึ้นมานานกว่า 60 ปีแล้ว ปัจจุบันงานวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมมีหลายรูปแบบ แต่มีลักษณะร่วมกันคือ  ใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงสังคม ที่เกิดจากความสนใจ  เต็มใจ และร่วมกันปฏิบัติการของคนที่อยู่ในพื้นที่หรือเป็นผู้ปฏิบัติในสถานการณ์ที่เป็นธรรมชาติ โดยมีนักวิจัยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการกระบวนการกลุ่ม(moderator)  งานวิจัยนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ทำงานพัฒนาชนบท  นักพัฒนาชุมชน และนักวิจัยองค์การ  แต่เมื่อทำเป็นปริญญานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของนิสิตนักศึกษา อาจมีความไม่เหมาะสม ด้วยเหตุผลหลายประการ

 

ก่อนอื่นต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่าปริญญานิพนธ์ระดับปริญญาเอกหมายถึงอะไร  ปริญญานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของนักศึกษาควรมุ่งเน้นการสร้างความรู้ใหม่  ที่อาจเกิดขึ้นจากกระบวนการที่เริ่มต้นจาก  การสังเกต ® สังเคราะห์ ® ตั้งสมมติฐาน ® ทดสอบสมมติฐาน ® สังเกตเพิ่มเติม ® วิเคราะห์สังเคราะห์ ® ปรับสมมติฐาน ® จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่น่าเชื่อถือ  ในกรณีที่เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ

หรือในการวิจัยเชิงปริมาณ การสร้างความรู้ใหม่เกิดจากกระบวนการดังนี้  การสร้างกรอบความคิดของความเกี่ยวข้องระหว่างตัวแปรที่ได้มาจากการประมวลเอกสารและงานวิจัยที่ทำเสร็จแล้ว ® เขียนสมมติฐาน ® ออกแบบการวิจัยเพื่อการทดสอบสมมติฐาน ® เก็บข้อมูล ® ทดสอบความน่าเชื่อถือของสมมติฐาน ® คงไว้หรือปรับทฤษฎี  ลักษณะของการสร้างความรู้ของการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมน่าจะเป็นกระบวนการแบบการวิจัยเชิงคุณภาพมากกว่าการวิจัยเชิงปริมาณ

การวิจัยเชิงปฏิบัติการที่เหมาะสมแก่การเป็นปริญญานิพนธ์ระดับปริญญาเอก ต้องประกอบด้วย 3  ส่วน  ที่เมื่อขาดส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วจะไม่เรียกว่าเป็นงานวิจัยเชิงปฏิบัติการที่สมบูรณ์  ส่วนแรก คือ  วิจัย  หมายความว่าต้องมีการสร้างความรู้ใหม่  ส่วนที่สอง  เรียกว่า การมีส่วนร่วม  หมายความว่า  นักวิจัยทำหน้าที่ผู้อำนวยความสะดวก (มืออาชีพ) และผู้ปฏิบัติงาน  หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในท้องถิ่น  องค์กร  ชุมชน  โดยที่บุคคลเหล่านี้ร่วมกันคิดแผนงาน  ดำเนินงาน  สร้างความรู้ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลตามที่ต้องการ  และส่วนที่สาม  คือ การปฏิบัติการ  คือ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปลี่ยนกลุ่ม  ชุมชน  องค์การ  จากจุดเริ่มต้นไปสู่เป้าหมาย  โดยใช้แนวทางที่เน้นการจัดการตนเอง  ของกลุ่มหรือชุมชน

งานปริญญานิพนธ์ปริญญาเอกหลายเรื่องที่ใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กล่าวอ้างว่า เกิดองค์ความรู้ หรือเกิดความรู้ใหม่  แต่ไม่เขียนอธิบายให้เห็นว่าอะไรคือความรู้ใหม่  เพราะความรู้ใหม่น่าจะเป็นการค้นพบที่แตกต่าง หรือเพิ่มเติมไปจากองค์ความรู้ที่ค้นพบเดิม หรือคำอธิบายเดิม ๆ  ตัวอย่างของการเกิดความรู้ใหม่ เช่น  การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเรื่องหนึ่งมีเป้าหมายเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาชุมชนให้สามารถสร้างรายได้และดูแลกิจการของชุมชนได้ด้วยตนเอง  นักวิจัยพบว่า โครงสร้างของสังคมมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากความเข้าใจเดิม ๆ เกี่ยวกับโครงสร้างของสังคมชนบท  โดยเขียนอธิบาย concept และความเชื่อมโยงของ concept ไว้อย่างชัดเจน  แตกต่างจากปริญญานิพนธ์บางเรื่องที่เน้นให้เห็นกระบวนการของการทำงานพัฒนามากจนไม่เห็นสิ่งที่เป็นความรู้ใหม่

นอกจากนี้ยังต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงกระบวนการมีส่วนร่วมที่มิใช่แค่การเข้าร่วมเท่านั้น  การมีส่วนร่วมต้องแสดงถึง การมีส่วนร่วมทางการคิด  การลงมือปฏิบัติ  และการสะท้อนการปฏิบัติ  ร่วมทั้งการวางแผนและการปรับแผนที่มีความเท่าเทียมระหว่างผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัย  งานปริญญานิพนธ์หลายเรื่องกล่าวถึงการมีส่วนร่วมในเรื่องของกิจกรรม เช่น มีการจัดกิจกรรมโดยใช้เทคนิคของการมีส่วนร่วมต่าง ๆ เช่น  PRA  AIC  แต่ไม่แสดงว่าผู้เข้าร่วมมีความรู้สึกอย่างไร  แสดงออกทางความคิดอย่างไร

ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหรือกิจกรรมที่กลุ่มร่วมกันทำเป็นส่วนที่นักศึกษาเขียนถึงมาก แต่ขาดรายละเอียดที่จำเป็นได้แก่  การอธิบายลักษณะของกิจกรรม และกระบวนการทำกิจกรรม  รวมถึงผลที่เกิดขึ้นทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม

ปริญญานิพนธ์ที่เน้นแต่ขั้นตอนของการปฏิบัติการ  อาจเป็นเพียงโครงการพัฒนาชุมชนที่มีเป้าหมายของบการพัฒนาเท่านั้น  แต่มิใช่การทำวิจัยในระดับปริญญาเอก  ปริญญานิพนธ์ที่เน้นการมีส่วนร่วมแต่ไม่อธิบายคำสำคัญของกรณีส่วนร่วมทั้งทางด้าน  บทบาทที่เท่าเทียมกัน  ความเป็นเจ้าของความคิดใหม่  การเห็นคุณค่า  ในงานวิจัยอาจมิใช่กลไกของการมีส่วนร่วมที่ผู้วิจัยใช้  แต่อาจเป็นเข้าร่วมเพราะบทบาทหน้าที่บังคับก็เป็นได้  ดังนั้นปริญญานิพนธ์ ควรตอบคำถามทั้งสามด้านได้อย่างครบถ้วนว่า มีการมีส่วนร่วมอย่างไร  มีการปฏิบัติใหม่ ๆ เกิดขึ้นหรือไม่ และมีการสร้างความรู้ใหม่หรือไม่  ต้องมีครบทั้ง 3 ประการและมีความสมบูรณ์เพียงพอเท่านั้นจึงจะสมควรแก่การเป็นการศึกษาค้นคว้าที่เป็นผลงานที่แสดงถึงการจบปริญญาเอก

หากแต่สภาพปัจจุบันที่มหาวิทยาลัยแข่งกันเปิดหลักสูตรระดับปริญญาเอก แต่ขาดคณาจารย์ที่มีประสบการณ์  เพียงพอแก่การควบคุมปริญญานิพนธ์แบบนี้ จึงทำให้ปริญญานิพนธ์ส่วนใหญ่ที่จะใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม  ขาดความเหมาะสม  ไม่สมบูรณ์  และปล่อยให้เกิดผลงานที่จะเป็นต้นแบบให้ผู้อื่นทำตาม    และเมื่อทำตามมาก ๆ เข้าก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องในที่สุด

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น